วันนี้ต้องเช็คเอาท์ออกจาก Elysee Motel ที่ปูซานแล้ว เมื่อคืนบอกคุณ Sunho Son ให้ช่วยเรียกแท็กซี่ไว้ให้เวลา 05.15 น. เวลาตีห้าพวกเราเช็คเอาท์ แท็กซี่ก็มาตรงเวลาพอดี ก่อนกลับเราได้คุยและขอบคุณ คุณSunho Son ที่คอยบริการและช่วยเราทุกอย่างที่นอกเหนือจากงานของเค้า เช่น เรื่องตั๋วรถไฟ KTX เค้าก็ช่วยเช็ครอบ เช็คเวลา ช่วยจองให้ได้ แม้กระทั่งช่วยโทรคอนเฟิร์มที่พักที่โซลให้ด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้จองและจ่ายเงินบางส่วนให้กับโรงแรม Sumsung ที่โซลเอาไว้ แต่ได้รับการตอบกลับมาแบบไม่ค่อยจบใจความ ติดต่อกลับไปอีกทีก็ไม่เมลกลับมา จนกระทั้งถึงเกาหลีแล้ว เราเลยรบกวนให้คุณ Sunho Son ช่วยโทรถามให้หน่อยว่ายังคอนเฟิร์มอยู่ไหม เค้าก็โทรถามให้ทันที…..และอีกหลายๆอย่างที่เรารู้สึกประทับใจในบริการของคนๆนี้มาก
เราบอกเค้าไปว่า(แปล) “ขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณมาก ที่คอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง พวกเราแฮปปี้กับปูซานครั้งนี้มาก และชอบที่พักที่นี่มากๆ” เค้าก็ขอบคุณที่เราชอบที่นี่ และก็บอกว่า (แปล) “เรื่องบริการ เค้าเต็มใจทำให้ Like a Family คือเหมือนเราเป็นพี่เป็นน้อง ช่วยอะไรได้ก็ช่วย” หลังจากจบบทสนทนาเราก็ขอถ่ายรูปกับเค้าเป็นที่ระลึก เค้าก็สบายๆ ฮาๆดี มีจัดมุมให้ด้วย และเราก็จากกันด้วยความประทับใจ
ประโยคนี้ Like A Family เราชอบมาก เราจะจำไว้ ว่าเราเคยได้ยินและได้รับบริการที่เป็นเช่นเดียวกับประโยคนี้มาแล้ว.
ทำการเช็คอินที่เคาท์เตอร์สายการบิน Air Busan บินสู่เกาะเจจู Jeju International Airport
เครื่องบินออกเวลา 06.50น.
ถึงสนามบินเจจูเวลา 08.00น.
รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว มาขึ้นรถบัส Avis หน้าสนามบิน เพื่อไปเช่ารถ
ใช้เวลารอนานเหมือนกันเนื่องจากผู้รอรับบริการเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี ชาวต่างชาติมีไม่มาก เราได้รับบริการกับพนักงานผู้ชาย เสื้อสีขาวในภาพ ให้รายละเอียดดี พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าพวกเราซะอีก จนบางครั้งเค้าคงรู้ว่าพวกเราอาจจะไม่เข้าใจ เค้าก็จะถาม OK? Do you understand? เป็นพักๆ กรอกรายละเอียดเอกสารแล้ว เค้าจะมีแผนที่พร้อมเบอร์โทรศัพท์สำหรับไว้ใช้ GPS ให้ แต่พวกเราโชคร้ายไปหน่อย Eng Map หมด ก็เลยเอา Korean Map มาแทนก็ได้ เดี๋ยวใช้วิธีเทียบตัวอักษรเอา
และนี่ คือรถที่จองเอาไว้ Hyundai Avante ค่าเช่ารถไม่แพงอย่างที่คิด ราคาพอๆกับเช่าเอวิสที่ไทย แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ ค่าน้ำมันโหดมากกกก
หลังจากกรอกข้อมูลในออฟฟิศเรียบร้อยแล้ว พนักงานผู้ชายคนนั้นก็พามาดูรถ พร้อมกับแนะนำว่าอะไรอยู่ตรงไหน เช่น โซ่ และอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ เนื่องจากในตอนนั้นเป็นฤดูหนาว เกาะเจจูหิมะลงหนามาก หลังจากนั้นก็มาสอนพวกเราใช้ GPS ซึ่งใช้ง่ายมาก กดสามที ใส่เบอร์ แล้วก็ไปได้เลย
หลังจาก Set up อะไรต่างๆเรียบร้อยแล้ว เราต้องเอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน ซึ่งโรงแรมที่เราจะไปพักวันนี้ได้แก่ Neulsong Parktel
늘송파크텔 อยู่ในย่าน Jeju City โรงแรมนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น Good Stay เป็นโรงแรมแนะนำในเว็บ www.visitkorea.or.kr เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เนื่องจากวันนี้ถึงคราวเราป่วยพอดี เดินอาเจียนมาเกือบตลอดทาง ที่สำคัญอาเจียนใส่กล้องตัวเองด้วย อี๊~~~ ><” เลยไม่มีแรงถ่ายรูปเก็บไว้ พอเช็คอินแล้วก็ขึ้นไปหลับพักผ่อนเอาแรง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเที่ยวต่อในวันนี้
เวลาบ่ายโมง พวกเราพร้อมหน้าเดินทางเที่ยวต่อไป แม้จะไม่มีใครสมประกอบเลยสักคน วันนี้เลยเที่ยวกันแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่รีบ ขับผ่านช่วงหิมะหนาๆ มา ฝ้าเต็มกระจกรถเลย โดยจุดหมายแรกสำหรับวันนี้คือ ปากปล่องภูเขาไฟ ซงซาน อิลซูบง Seongsan Ilchulbong 성산일출봉
ข้างหน้าโน่นไง ซงซาน อิลซูบง ใกล้ถึงแล้ว ตื่นเต้นจัง 😀
ถึงแล้วววววว เย่!!
ก่อนออกเดินทาง อย่าลืมแวะชิมไก่ร้านหน้าแฟมิลี่มาร์ท เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าร้านหน้าแฟมิลี่มาร์ทอร่อยกว่า ร้านที่เปิดหน้าเซเว่น เราก็ไม่พลาดไปลองชิม รสชาติก็ดีนะ ใช้ได้ ส่วนร้านหน้าเซเว่นไม่ได้ลองชิม วันนั้นไม่มาขายพอดี เลยอดชิมเลย
ค่าตั๋วคนละ 2,000 วอน
เมื่อเดินเข้ามาเจอกับสิ่งนี้ ลักษณะเป็นหินๆ วางเรียงกันเป็นวงกลมแบบนี้ ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นนาฬิการึเปล่า?? เพราะก้อนหินรอบๆ มี 12 ก้อน คงใช้แสงพระอาทิตย์ทอดผ่านเป็นเข็มนาฬิกาแทน อันนี้เดาเอานะ ใครรู้ละเอียดฝากมาบอกด้วยก็ดี
บริเวณลานหน้าทางเข้า มีบริการเช่าม้า ขี่รอบๆลานนี้ด้วย
แต่เราไม่ได้ไปขี่หรอก สงสารม้า เจอน้ำหนักเราเข้าไป เดี๋ยวม้าจะเดินไม่ได้ไปหลายวัน อีกทั้งตอนนี้เวลาล่วงมาเยอะแล้ว ทำเวลาเดินขึ้นไปปากปล่องภูเขาไฟก่อนดีกว่า
ไปกันดีกว่า เล็ดสะโกว เล็ดสะโกว
จุดท่องเที่ยวแรกในแผนที่ได้แก่ virgin rock Seongsan Ilchulbong เป็นหินรูปร่าง เอิ่ม……รูปร่่างละม้าย คล้าย เหมือน ของผู้หญิง เหมือนซะยิ่งกะไร อุตส่าห์มีแมกไม้ปกคลุมด้านบนด้วย คนเราก็ช่างคิด ช่างไปตั้งชื่อซะจริงๆ
Virgin Rock แบบใกล้ๆ
เดินมาสักพักนึง เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแล้ว เป็นหินรูปร่างแท่งๆ มีชื่อนะ แต่อ่านไม่ออก และจำภาษาอังกฤษไม่ได้ ตะกี๊ Virgin Rock อันนี้อะไรอีกล่ะ?? ดูจากรูปร่าง รูปทรงแล้ว เรียกว่า Man Rock ละกันนะ ก็รูปร่างมันชวนให้คิดน่ะ ฮ่าๆๆ
เดินขึ้นมาอีกพักนึง เจอจุดท่องเที่ยว เป็นหินรุปร่างประหลาดอีกเช่นเดิม อันนี้อะไรดีล่ะ??………ชื่อสองแง่ สองง่าม ละกันนะ จะได้เป็น Theme เดียวกันกับหินอื่นๆด้วย (ลงต่ำตลอด) ฮ่าๆ
จากข้างบนมองลงไป เห็นวิวท่าเรือข้างๆ ซงซานอิลซูบงด้วย เดอะแก๊งค์ขาซีรีย์เล่าให้ฟังว่า ท่าเรือนี้ เป็นฉากนึงในซีรีย์เกาหลีเรื่อง Spring Waltz
และแล้วก็มาถึง ปากปล่องภูเขาไฟ ซงซาน อิลซูบง เย่………… ลักษณะที่เห็นไม่ค่อยเหมือนในโปรดักท์ชั่นที่เห็นๆมาเท่าไร อาจเพราะเป็นฤดูหนาว ต้นไม้ใบหญ้าแห้งตายหมด แต่ก็ดูสวยงามไปอีกแบบ
ขึ้นมาชมความสวยงามได้พักนึง ฟ้าเริ่มหมดแสงอาทิตย์ คงต้องลงก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง แสงอาทิตย์ยามเย็นสีจัด สวยจริงๆ เดินมาเรื่อยๆทางขวามือ ลงไปดูชายหาดสีดำและบ้านหญิงนักประดาน้ำกัน
ชายหาดข้างล่างเป็นสีดำทั้งหมด หินก็ดำ ทรายก็ดำ แต่น้ำทะเลไม่ดำนะ
Jeju Woman Diver Performance เราเรียกว่าบ้านหญิงนักประดาน้ำ ผู้หญิงเจจูมีความสามารถดำน้ำลงไปจับสัตว์ต่างๆ เพื่อมาขายและเพื่อมาเป็นอาหารได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแสดงดำน้ำนี้ให้ชมอยู่ แต่เราไม่รู้ว่ามีรอบไหนบ้าง ใครสนใจคงต้องหาข้อมูลมาก่อน
แต่เราสนใจเจ้าหาดดำนี้มาก ดูสิ ทรายก็ดำมีลักษณะเป็นเม็ดๆ เหมือนดินในปืนแก๊บที่เคยเล่นตอนสมัยเด็กๆเลย
หินบริเวณชายหาดมีรูปร่างคล้ายถูกหลอมเหลวแล้วทำให้แข็ง เป็นร่องๆ ตะปุ่มตะป่ำ คาดว่าคงเป็นหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว
หินที่อยู่ด้านบนชายหาดขึ้นมาหน่อย จะมีลักษณะเป็นลายๆ ชั้นๆแบบนี้
พระอาทิตย์ตกที่ลานจอดรถ Seongsan Ilchulbong บ๊ายบาย……… เราไปตะลุยกันที่จุดต่อไปเลยดีกว่า
ที่นี่คือ ซอพจิโกจิ (Seopjikoji) เดอะแกงค์ขาซีรีย์เล่าให้ฟังว่า ที่นี่เป็นอีกฉากนึงในซีรีย์เรื่อง Spring Waltz เช่นกัน แต่เสียดายมาผิดฤดูไปหน่อย เลยไม่มีดอกไม้สวยๆให้เห็น บวกกับตอนนี้เริ่มมืดแล้ว และอากาศหนาวมาก เราอยู่ที่นี่กันแค่ราวๆ สิบนาที ก็ต้องรีบกลับแล้ว เนื่องจากกลัวว่าทางจะมืดมาก มีหิมะ และไม่ค่อยชินทางด้วย ค่อยๆคลืบคลานไปเรื่อยๆ ไว้พรุ่งนี้เราจะมาเก็บที่เที่ยวในเกาะเจจูกันต่อ