เที่ยวเกาหลี 9วัน 8คืน ตอนที่ 6 หลักสูตรโซล103

วันนี้เราต้องย้ายโรงแรมไปพักที่ใหม่กัน จากที่พักฮิลเฮาส์แถวเมียงดงเปลี่ยนไปพักที่ซิตี้ปาร์คแถวๆวังชางด๊อกกุงแทน เหตุที่เปลี่ยนไม่ใช่เพราะที่ฮิลเฮาส์ไม่ดีอะไร แต่ก่อนหน้าที่เราจะมาเกาหลีเราได้จองที่พักไว้แล้วจากเมืองไทย และเรากลัวจะเบื่อกันเลยจองไว้สองที่ ที่ละสี่คืน


(ภาพโดย พี่ตูน)
เช้านี้เริ่มทริปที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของเกาหลี ซึ่งอยู่ในบริเวณวังเคียงบก เมื่อไปถึงปรากฏว่า……

ปิด!! เราก็นึกอยู่ล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากตอนวางแผนการเดินทาง เรากำหนดวันเปลี่ยนที่พักคลาดเคลื่อนไปหน่อย จึงทำให้ต้องสลับวันบ้าง เนื่องจากอ่านจากในหนังสือบอกว่าที่นี่จะปิดในวันอังคาร แต่ก็ลองเสี่ยงดวงมาดูสักนิดนึง ทางผ่านๆกัน คงไม่เสียหาย พอมาแล้วก็ปิดจริงๆด้วย ข้อมูลในหนังสือเค้าชัวร์จริงๆ นะตัวเธอว์……อิอิ


(ภาพโดย พี่ตูน)

จากนั้น เราก็จำต้องมุ่งไปที่เป้าหมายต่อไปทันที กางแผนที่สมัยสงครามโลก ออกมาดูทิศทางสักหน่อย เราอยู่ส่วนไหนของโลกแว้…….ซ้ายหรือขวาหว่า? พอรู้ทิศทางแล้วก็ออกเดินทางต่อกันเลย เป้าหมายต่อไป ทำเนียบประธานาธิบดี หรือ บลูเฮาส์ นั่นเอง

บรรยากาศระหว่างทางเดินไป บลูเฮาส์

ทางเดินไปบลูเฮาส์ เดินไปเรื่อยๆ ยิ่งใกล้บูลเฮาส์มากเท่าไร เจ้าหน้าที่ก็ยิ่งเยอะ บางคนก็จะสอบถามเราว่าไปไหนอะไรยัง เราก็ตอบเค้าไป ด้วยภาษาปะกิดสุดเทพว่า ไอ แอม อะ แทรเวลเลอร์ จ้าาา วี     ว้อนท์ ทู โก ทู บลูเฮ้าส์ เด้อน้องเด่ออออ…….

ถึงแล้วววว หน้าบลูเฮาส์ หลังคาฟ้าๆโน่นไง เนื่องจากพื้นที่ที่ยืนอยู่ลาดเอียง และไม่มีเซนต์ในการถ่ายรูป บลูเฮาส์เลยเอียงกะเท่เร่ ฉะนี้แล หนังสือเล่าให้ฟังว่า บลูเฮาส์ถือเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในเกาหลี ข้างหลังเป็นภูเขา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จำมิได้แร้นนน

หากต้องการเข้าชมด้านใน ต้องทำการติดต่อโดยใช้หมายเลขพาสปอร์ต และได้รับการตอบกลับมาก่อน จึงสามารถเข้าไปชมได้ ถึงแม้ว่าจะเข้าไปชมข้างในได้ ก็ห้ามถ่ายรูป เนื่องจากเป็นเรื่องของความมั่นคงภายประเทศเค้านั่นเอง

ยืนถ่ายรูปตามจุดที่กำหนดไว้ให้นะจ๊ะ อย่าก้าวล้ำไปมากกว่านี้เดี๋ยวงานจะเข้า เขามีเจ้าหน้าที่ยืนควบคุม สอดส่อง อยู่ที่จุดถ่ายรูปด้วยนะตัวเธอว์


(ภาพโดย พี่ตูน)

มีบางคนลงทุนมากไปหน่อย ลงมานอนถ่ายรูปประกอบซีรีย์เรื่อง “เจ้าหน้าที่ขึงขังกับวังเคียงบก”
สร้างรายได้ถล่มถ่มถุย ยิ่งกว่า ยายตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม

บลูเฮาส์จะอยู่ใกล้ๆกะวังเคียงบก ใกล้มากแค่เดินข้ามถนนไปเท่านั้นเอง

ต่อจากบลูเฮาส์เราจะไปต่อกันที่อนุสาวรีย์นกฟินิกซ์

นกฟินิกซ์ หมายถึง อำนาจ พลัง และ ความเป็นนิรันดร์

นี่เป็นกลองไว้ตีร้องทุกข์ในสมัยก่อน ถ้าใครเคยดูเปาบุ้นจิ้นก็อารมณ์ประมาณนั้น

ตรงข้ามอนุสาวรีย์นกฟินิกซ์ เป็นตึกแสดงของกำนัลประธานาธิบดี ชั้นล่างจะรวบรวมสถานที่ที่น่าสนใจของเกาหลี และรวบรวมเหล่าบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้เกาหลีไว้ที่นี่

ได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีด้วย อยู่ไทยเค้ามีไว้ให้เด็กนั่งในวันเด็ก ที่นี่จะมานั่งวันไหนก็ได้ ขอให้เค้าเปิดทำการก็พอ


(ภาพโดย พี่ตูน)

ฮัดช่า!!! ทริปนี้มาอย่าง VIP ไม่อยากจะโม้ ได้แชะรูปคู่กับประธานาธิบดีของเกาหลีด้วย ไอเดียเขาดีจริงๆ พวกเราชอบมาก แอ๊คชั่นกันอย่าง”สุดสวิงดิงโก้อีโต้หัก”กันไปเลย แต่เราคงชอบกันมากไปหน่อย ก็มีเจ้าหน้าที่เกาหลีหน้าตาสวยเดินมาพูดอะไรสักอย่าง ความหมายประมาณว่า “คุณคะ คนอื่นเขารอถ่ายกันอีกเยอะนะคะ เสร็จยังคะ ?” อีกอย่างเกาหลีบางคนมาเห็นเค้าคงไม่ค่อยชอบเท่าไร ที่พวกเราแอคท่าชิลๆมากมายกับท่านผู้นำของเขา แต่ของบอกจากใจจริงของพวกเรานะ……..ไอเดียคุณดีมาก เราสนุกกันจริงๆ ได้มีรูปคู่กับผู้นำเกาหลีที่ยิ้มแป้นสดใส กลับบ้านไว้เป็นที่ระลึกด้วย พอเราเอากลับมาโชว์เพื่อนที่เมืองไทย เพื่อนเราถึึงกับตะลึงร้องว่า “โอ้โห สุดยอด ลอยได้ด้วย”

ออกจากตึกของกำนัลประธานาธิบดี เราก็ขึ้นรถเมล์ไปลงเส้นทางถนนหลัก ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร VIP อีกแล้ว เราได้ขึ้นรถเมล์มากับ ไมเคิล แจคสัน ด้วยนะ

เมื่อเจอถนนเส้นหลักแล้วเราก็เดินหาร้านอาหารเพื่อกินข้าวกลางวันกัน

วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศมากินอาหารจีนกันบ้าง ติดป้ายไว้ว่าเป็น Tourist Restaurant ด้วย

ภาพอาหารทั้งหมด by พี่ตูน จ้าาาา

กินเสร็จแล้วออกเดินทางสู่เป้าหมายต่อไปคือ วัดโชเกซา วัดใจกลางเมืองโซล อีกวัดหนึ่งนอกเหนือจากวัดพงอึนซา

ถึงแล้ววว วัดโชเกซา….

ได้เข้าไปดูภายในโบสถ์ด้านใน พระพุทธรูปสวยงามมาก

คนเกาหลีเค้ากำลังสวดมนต์กันอยู่พอดี ได้โอกาสไปกราบพระ การกราบของคนเกาหลีเค้าไม่ได้เบญจางคประดิษฐ์แบบเรา แต่เค้ากราบทั้งตัว คือยืนไหว้แล้วค่อยๆนั่งลงกราบที่พื้น คนเยอะมากพยายามกราบแบบเกาหลีโดนคนเดินชนหัวไปทีนึง ถ้าไปเกาหลีแล้วไม่โดนชนถือว่ายังมาไม่ถึงนะจะบอกให้ ตอนเราไปทงแดมุน แบร์ก็ไปยืนทำวิจัยและก็มาเล่าให้ฟังว่า “ผมเห็นคนเกาหลีเค้าเดินชนกันเซไปเซมา ตัวโย้เย้เหมือนแมทริกซ์ ผมทึ่งมาก เป็นธรรมดาของเขา เวลาชนคนอื่นเป็นธรรมดาและไม่ขอโทษ แต่เวลาเราเดินไปชนเค้า เค้าอารมณ์เสียนะครับผม 555”

บริเวณผนังโบสถ์ด้านนอก แสดงภาพเขียนของพุทธประวัติตามเหตุการณ์สำคัญต่างๆ คนไทยเราไปดูก็เข้าใจง่าย เพราะเหมือนสิ่งที่เราเคยเรียนในวิชาพุทธศาสนานั่นเอง

ออกจากวัดโชเกซาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ คลองชองเกซอน

เดินมาตามทางเรื่อยๆ เจอตึกรูปทรงแปลกๆ คือ ตึกจงโนทาวเวอร์ เห็นตึกนี้บ่อยๆในหนังสือเกาหลี แต่อ่านผ่านๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรสำคัญบ้างรึเปล่า

ระหว่างทาง ไม่แน่ใจว่านี่คือ ศาลากลางเมือง หรือว่าศาลหลักเมือง แบบว่าอ่านหนังสือผ่านมากๆ จำไม่ได้เลย

ถึงบริเวณคลองชองเกซอนแล้ว

เห็นอะไรแหลมๆ ตรงฟากกะโน้นนนไหม สงสัยจะไกลไป น่าจะยังไม่เห็น

ใกล้เข้ามาแล้ว เป็นปะติมากรรมรูปหอย เป็นสัญลักษณ์ของคลองชองเกซอน ทำให้เราเรียกคลองนี้ว่า คลองหอยหลอด ผู้คนมักมาเริิ่มเที่ยวคลองที่จุดนี้ก่อน เปรียบเหมือนเป็น กม.0 และก็เที่ยวตามสะพานต่างๆไปเรื่อยๆ แต่ละสะพาน แต่ละจุดก็จะมีสิ่งที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป

ชายผู้มีความปรารถนาแรงกล้า อธิษฐานแล้วเสี่ยงทายโยนเหรียญให้ลงภายในวงกลมนั้น ให้เดาน่าจะประมาณว่า “ขอให้สาวคนนั้นตกลงเป็นแฟนกับเราในเร็ววันด้วยเถิด”

จาก กม.0 หรือประติมากรรมหอยแล้ว เราก็เริ่มออกเที่ยวตามคลองไปเรื่อยๆ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก พี่ตูน โมมด แบร์ ยังเที่ยวชมคลองชองเกซอนแบบเจาะลึก กลุ่มที่สอง เราและพี่ตั๊ก มุ่งหน้าสู่ พิพิธภัณฑ์ทหารสงครามเกาหลี เนื่องจากเราชอบดู ยุทโธปกรณ​์ ทางทหารมากๆ ถ้ายังเที่ยวคลองอยู่คงไม่ทันดู เลยขอตัวรีบไปดูก่อนที่พิพิธภัณฑ์จะปิด ซึ่งเดี๋ยวจะมารีวิวต่อจากคลองชองเกซอนนี้ ส่วนรายละเอียดท่องเที่ยวคลองชองเกซอนต่อจากนี้ ต้องขอบคุณรูปปลากรอบจากทั้งโมมด และพี่ตูนไว้ล่วงหน้าด้วยจ้า

ปะ!!! เที่ยวคลองกันต่อดีกว่า…….


(ภาพโดย พี่ตูน)

ตึกแฝดรูปร่างแปลกตาระหว่างทางของคลองชองเกซอน


(ภาพโดย พี่ตูน)

น้ำในคลองเป็นน้ำแข็ง ต้นไม้ใบหญ้าริมคลองแห้งเป็นสีเหลืองสีแดง สวยไปอีกแบบ


(ภาพโดย พี่ตูน)

หญ้าแห้งๆ สีแดง น้ำตาล ริมทาง สวยมากๆ


(ภาพโดย พี่ตูน)

Wall of Hope


(ภาพโดย พี่ตูน)

ขนมปลาไส้ถั่วหวานๆ ร้อนๆ แถวคลองชองเกซอน อร่อยมาก กินไปซะสองตัว

หลังจากที่เราและพี่ตั๊กแยกย้ายมาจากคลองชองเกซอนแล้ว ก็มุ่งหน้าตรงมาที่พิพิธภัณฑ์ทหารสงครามเกาหลี ที่นี่เป็นหนึ่งในหลายที่ของโซลที่อยู่ในลิสต์ห้ามพลาดของเรา เนื่องจากส่วนตัวชอบทางนี้อยู่แล้ว พรหมลิขิตก็เลยบรรดาลให้เรามาซ้ำอีกรอบในวันก่อนกลับ แต่สำหรับวันนี้เรามาช่วง 4 โมงเย็นแล้ว จึงมีเวลาเที่ยวไม่มากนัก พอเริ่มก้าวเข้าประตูมาได้ความรู้สึกแปลกใหม่ ชอบมากเลย โดยเฉพาะส่วนจัดแสดงข้างนอก

เมื่อเข้ามาบริเวณพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ ประติมากรรมนี้เป็นสิ่งแรกที่สะดุดตา มองเผินๆแบบคนไม่รู้อะไร พอจะตีความได้ว่า พี่น้องซึ่งต้องมาเจอกันในสงคราม สายเลือดเดียวกัน แต่ต้องยืนอยู่บนผืนดินที่แตกแยก So Saddd (อินมากกก ทั้งๆที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงเลยสักกะนิด)

ตัวอาคารส่วนจัดแสดงภายใน เมื่อมองจากภายนอก ใหญ่โต โอ่โถงมาก

อยากจะขึ้นไปบนเรือมาก เดินไปดูเค้าไม่ให้ขึ้น เสียดาย คงเพราะใกล้จะปิดทำการแล้ว

ขึ้นมาตามบรรไดที่พาดไว้กะเครื่องบิน ณ เวลาโพล้เพล้ของเกาหลี เห็นมีคนนั่งในเครื่องบิน ตกใจมาก!! หัวใจหล่นไปอยู่บันไดขั้นที่หนึ่งแล้ว เค้าคงกลัวไม่เหมือนจริง กลัวไม่ได้บรรยากาศเลยลงทุนทำหุ่นนักบินด้วย

มองลงมาจากด้านบนเครื่องบินลำใหญ่มาก คนตัวนิดนึง

อลังการ ละลานตามากๆ กับส่วนจัดแสดงภายนอก ชอบสุดๆ

โอเว่อร์มากๆ แท่นยิงโน่น นี่ นั่น ยังเอามาโชว์

โชว์แสนยานุภาพทางทหารกันสุดๆ

ดูกันซะให้เต็มตาไปเลย……….

ภาพนี้ชื่อว่า ” ไปโหนของเค้าเล่นทำไมลูก!! ”

พิพิธภัณฑ์ใกล้ปิดแล้ว เราจึงต้องรีบเดินทางสู่เป้าหมายต่อไปนั่นคือ หอคอยนัมซานทาวเวอร์ ไปชมวิวเมืองโซลยามค่ำคืนกัน Let’s Go……………

ต่อกันที่หอคอยนัมซาน หรือเรียกอีกอย่างว่าโซลทาวเวอร์ เป็นอีกสัญลักษณ์นึงของเกาหลี ถ้าไม่ได้มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงเกาหลีเลยทีเดียว หลังจากลงเคเบิ้ลคาร์แล้วต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย

หน้าตาเหมือนศาลาพักเหนื่อย แต่สวยงามดีเลย ตั้งอยู่บริเวณหน้าหอคอยนัมซาน

บริเวณด้านในนัมซานทาวเวอร์

มองเมืองโซล จากวิวด้านบน


(ภาพโดย โมมด)

มีกระเบื้องไว้ให้เขียนสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากฝากอะไรไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา จากที่สังเกตหลายๆที่ในเกาหลี มีแต่การเขียนๆๆๆ ตึก SM ก็มีแฟนๆมาเขียน สถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ก็มีการสนับสนุนวัฒนธรรมมือบอนโดยมีการจัดที่ทางให้เรียบร้อย


(ภาพโดย โมมด)

ลานคล้องกุญแจ สำหรับคู่รัก 


(ภาพโดย พี่ตูน)

นี่ๆๆ ไปคล้องมาเหมือนกัน ใครว่าไม่มีคู่คล้องไม่ได้ ในกลุ่มเราคนโสด ไม่โสด ก็คล้องกันเกือบหมด คนโสดก็ซื้อแม่กุญแจมาสักคู่ เขียนชื่อตัวเอง และก็ชื่อไอดอลเกาหลีที่ท่านชอบ คล้องกันเข้าไว้ และก็โยนลูกกุญแจลงไปเล้ยยยย……


(ภาพโดย พี่ตูน)

คล้องกุญแจเรียบร้อยแล้วมาต่อที่พิพิธภัณฑ์หมีเทดดี้แบร์

กำลังเข้าสู่พิพิธภัณฑ์เทดดี้แบร์

เหมือนว่าตัวนี้จะพูดได้

หมีข้าราชบริพาร

หมีนักวาด

เทดดี้แบร์แต่งงาน

ครั้งแรกที่ได้เห็นหมี….ขี่ม้า

รู้จักไหม?? ……………..แบร์จังกึม

หล่อนทำสำรับตกแตกเสียหาย ความผิดใหญ่หลวงนัก วิดพื้น 10 ที ปฏิบัติ!!!!

จักรพรรดิ์เทดดี้

เหล่าขบวนทหารเทดดี้

หมี K-POP

หมีนันทา สับ หั่น แหลก….

หมีบลูเฮาส์

bear b boy ของจริง

เต้นจริงอะไรจริง ไม่ได้อยู่ท่านี้ตลอด

ภายในร้านของที่ระลึก เค้าห้ามถ่ายรูปแต่ไม่มีป้ายบอก เดินมาเรื่อยๆนึกว่าห้องจัดแสดง พอถ่ายเสร็จก็มีพนักงานมาทำมือ X ตามระเบียบ

ชมหอคอยจนครบแล้ว ออกมานั่งสัมผัสความเย็น ดูบรรยากาศโดยรวมของนัมซานทาวเวอร์ (พูดซะยาว จริงๆแล้วพักเหนื่อย)

ศาลาสวยงาม อีกสักรอบก่อนลง

ลงละนะ กลับก่อนแล้ว บ๊ายบายนัมซานนน

กลับถึงที่พักเอาของเก็บเรียบร้อยแล้วก็ออกมาหามื้อเย็นทานกัน วันนี้เราเตรียมตัวมาอย่างดี เราอยากไปกินหมูสามชั้นย่าง หรือที่เรียกว่า ซัมยอคซาน เราจึงถามคนที่ดูแลโรงแรมว่า จะไปหากินได้จากที่ไหนบ้าง เตรียมคำศัพท์มาแล้ว ก็ถามเลย

พวกเรา: “วีว้อนทูอีท ซัมยอคซาน”
คนดูแล : “หา………”
พวกเรา: “ซัมยอคซาน……ซัมยอคซาน”
คนดูแล: ยิ้มและก็หัวเราะ

จึงทำให้เรารู้ว่า สำเนียงเราไม่ได้ เค้าไม่เข้าใจ เราจึงแบมือออกมาทำท่าปิ้งกลับไปกลับมา และก็ทำเสียง ชู่………….ชู่……………..

คนดูแล : “อ้าาาา …………….และก็ทำท่าประมาณว่าแถวๆโรงแรมนี่แหละ เดินดูได้เลย”

เฮ้อ…..สนุกดี ตระเวนหาร้านที่ถูกใจเรื่อยๆ ก็ได้ร้านนี้

กระทะแบนๆ มีช่องให้น้ำมันไหลออกทางด้านข้าง

 

หน้าตาเครื่องเคียงต่างๆ

ซุปกิมจิ ที่รวมเอาของทะเลลงไปเยอะแยะมากมาย มีอันนึงหน้าตาเหมือนสมอง เราจึงเรียกซุปนี้ว่า ซุปสมอง เจ้าของร้านเชียร์ใหญ่เลยว่า อร่อยนะ ลองทานๆ แต่เราไม่กล้าทาน เท่าที่ได้ลองอาหารทะเลของเกาหลีมาแต่บะเมนู ยังไม่มีที่ไหนที่อร่อยเลยสักที่ สู้บ้านเราไม่ได้เลย

ผักสดของเกาหลี พิสูจน์แล้วจากคนในทีมว่าไร้เทียมทานมาก หวาน กรอบ อร่อย

 


(ภาพอาหารโดย พี่ตูน)

เจ้าของร้านที่นี่ออกแนวชอบเทคแคร์ ชอบคุยกับลูกค้า เหมือนแกจะคุยว่าแกเล่นกล้องด้วย เลยอาสาถ่ายรูป………หมู………ให้พวกเรา

จบทริปโซลไปอีกวัน พรุ่งนี้เราจะออกเที่ยวต่างจังหวัดกันอีกครั้ง และจะแวะค้างคืนที่ซกโซด้วย คราวหน้าเจอกัน………………