หลังจากที่ได้เที่ยวต่างจังหวัดเกาหลีกันมาอย่างจุใจแล้วตลอดทั้งทริป เหลือเวลาแห่งความสนุกที่เกาหลีอีก 3 วัน เราจะมาเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และยังไม่เคยไปเที่ยวในโซล โดยจะขอเล่ารวบยอดทีเดียวเลยทั้ง 3 วัน จัดหนักไปเลย……..
หลังจากทำการย้ายโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่แรกที่พวกเรามาเที่ยวกันคือ สถานีโซล หรือ Seoul Station เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดของโซล เป็นจุดเริ่มต้นของรถไฟขบวนต่างๆ หลายสายเพื่อไปยังเมืองต่างๆ รวมถึงรถไฟความเร็วสูง KTX ด้วย แต่เราไม่ได้มาขึ้นรถไฟหรอกนะ พอดีเห็นว่ารูปแบบสิ่งก่อสร้างดูสวยงาม และมีสไตล์ดี ให้ความรู้สึกเป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ เราจึงไม่พลาดมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเก็บไว้ 😀
นี่ก็เป็นห้างที่อยู่ข้างๆ Seoul Station เดินขึ้นบันไดไปนิดนึงจะเจอกับ Lotte Mart มีของขายมากมายหลากหลาย บางอย่างราคาถูกกว่าร้านขายของด้านนอก บางอย่างก็แพงกว่าดูให้ดีๆ กันนะจ๊ะ
ที่ต่อไปเราไปเที่ยวกันต่อที่ เรือนจำโซแดมุน การเดินทางด้วย Subway สาย 3 ลงที่สถานี Dongnimmun Station ทางออก 5
ข้างๆ เรือนจำจะเป็นสวนสาธารณะ Independence Park
บริเวณหน้าทางเข้าเรือนจำโซแดมุน
อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมาเที่ยวเรือนจำ แล้วมันจะมีอะไรให้เที่ยว? ที่เรือนจำโซแดมุนแห่งนี้ เป็นเรือนจำที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นเพื่อใช้กักขังชาวเกาหลีที่พยายามจะกอบกู้เรียกร้องเอกราชให้ชาติเกาหลีของตัวเอง ในสมัยที่ญี่ปุ่นบุกยึดคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเรือนจำแห่งนี้เป็นเพียง 1 ในคุก 30 แห่ง ที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นทั่วคาบสมุทรเกาหลี เพื่อกักขังชาวเกาหลีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของญี่ปุ่น
รายละเอียดเวลาเปิดให้เข้าชม ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เปิดตั้งแต่ 09.30-18.00น. ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เปิดตั้งแต่ 09.30-17.00น. ค่าเข้าชมคนละ 1,500 วอน
เมื่อได้เข้าไปที่ส่วนจัดแสดงส่วนแรก พวกเราได้เจอกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 45 ปี เดินเข้ามาทักทายพวกเราถามว่ามาจากประเทศอะไร แรกเห็นเราคิดว่าเค้าเป็นแม่ชีนักบวชในศาสนาคริสต์ซะอีก เพราะแต่งตัวเหมือนมาก เจ้าหน้าที่คนนี้ได้อธิบายความเป็นมาของเรือนจำโซแดมุนแห่งนี้ให้ฟัง เป็นภาษาอังกฤษ เธอสื่อสารได้เป็นอย่างดี ทั้งภาษา การลำดับเรื่อง ระหว่างที่ฟังนั้นเรามองไปที่ดวงตาของเค้า ทำให้เรื่องราวที่เราได้ฟังเหมือนราวกับเค้าเพิ่งประสบเองมาเมื่อวาน ในช่วงยุคนั้นชาวเกาหลีทุกคนถูกบังคับให้ใช้ชื่อญี่ปุ่น แม้แต่ภาษาเกาหลีก็ถูกห้ามสอนอย่างเด็ดขาด สิ่งของมีค่ากระทั่งพระราชวังหลายแห่งก็ถูกเผาทำลาย สำหรับเรื่องราวในเรือนจำแห่งนี้ค่อนข้างสะเทือนใจชาวเกาหลีเป็นอย่างมาก ขนาดเราฟังแล้วน้ำตายังเอ่อนัยน์ตา ถึงกับพูดออกไปว่า (แปล)เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ เจ้าหน้าที่ต้องบอกว่า (แปล)ไม่เป็นไร… เกือบเสียฟอร์มร้องไห้ไปซะแล้ว อินมากมาย 😀 หลังจากเค้าเล่าจบแล้ว พวกเราก็พูดให้กำลังใจเค้าบอกให้ก้าวไปข้างหน้า สู้ต่อไป ประเทศคุณเก่งมาก….. ที่นี่ยังมีโบรชัวร์ท่องเที่ยวเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย แสดงว่าก็มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเที่ยวที่นี่บ้าง เราแอบคิดในใจเหมือนกันนะว่าเค้ารู้สึกยังไงนะ ? ถ้าคิดในแง่ของเรา มันก็เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องที่สำคัญที่น่าจะศึกษาไว้ เพื่อภายภาคหน้าจะได้รู้ว่าเราต้องทำไงไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
ห้องคล้ายๆ Gallery ที่มีรูปภาพของชาวเกาหลีที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ นำมาแปะไว้เต็มพื้นที่ห้องทั้งสี่ด้าน
ส่วนจำลองห้องประหารชีวิต ไม่ได้ถ่ายรูปมามากมายเนื่องจากบรรยากาศวังเวงมาก ขนาดว่าเป็นบรรยากาศจำลองแล้วนะ
หมดจากส่วนจัดแสดงด้านบนแล้ว เดินตามลูกศรบอกทางลงมาที่ห้องชั้นใต้ดิน
ส่วนชั้นใต้ดินนี้ เป็นส่วนของการทรมานร่างกายทั้งหมดเลยก็ว่าได้ โหดกว่าการคุมขังธรรมดาขึ้นมาอีกขั้น การทรมานมีตั้งแต่ กรอกน้ำร้อนใส่ปาก ตอกเล็บ และอื่นๆ อีก แค่เห็นก็รู้สึกเจ็บแล้ว
เครื่องทรมานแบบนี้ ให้เดาคิดว่าคงให้เข้าไปนั่งแล้วคงจะมีคนคอยเขย่าๆ
ห้องขังแบบนี้เข้าไปยืนได้อย่างเดียว มีแค่ช่องสี่เหลี่มด้านหน้าไว้ให้หายใจเท่านั้น อย่าเรียกว่าห้องเลย เรียกว่าเป็น “ตู้ขัง” น่าจะใช่มากกว่า
ขึ้นมาจากห้องใต้ดิน มาชมส่วนจัดแสดงอีกส่วนหนึ่ง นี่เป็นห้องเรียนในเรือนจำ เพื่อจุดประสงค์ในการโน้มน้าวจิต
เสื้อผ้าสำหรับนักโทษ สีส้มสำหรับนักโทษเกาหลีที่แปรพักต์เข้าหาญี่ปุ่นแล้วแล้ว ส่วนสีเทาคือนักโทษที่ยังไม่แปรพักต์
ในภาพนี้เป็นกระบอกตวงสำหรับให้ข้าวนักโทษ จะมีการนำก้อนไม้กลมๆ ใส่ลงไปนักกระบอกก่อนแล้วค่อยใส่อาหารลงไป ใครที่ได้ได้ก้อนกลมใหญ่ใส่ในกระบอกก็จะได้ข้าวน้อยกว่า
เดินตามลูกศรมาเรื่อยๆ เข้าสู่ส่วนของห้องขังนักโทษ ซึ่งเป็นห้องที่ใช้ขังนักโทษจริงๆ
ภาพบรรยากาศแรกที่เห็น อันที่จริงแล้วเรือนจำโซแดมุนแห่งนี้ รองรับนักโทษได้เพียง 500 คนเท่านั้น แต่เมื่อมีกระแสต่อต้านการบุกรุกของญี่ปุ่นมากขึ้น เรือนจำแห่งนี้ต้องรองรับนักโทษถึง 3,500 คน
นี่เป็นห้องขังแบบห้องมืด นักโทษเกาหลีที่โดนขังในห้องมืดนี้ ต้องทนรับสภาพที่แคบและอับชื้นนี้เป็นระยะเวลาแรมวัน บางคนก็เป็นแรมเดือนเลยทีเดียว ไม่มีแสงไฟ ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ เราลองนึกดูเล่นๆ หากเป็นตัวเราเอง แค่โดนขังในห้องธรรมดาเราก็คงเครียดพออยู่แล้ว นี่เป็นห้องมืด ไม่มีไฟ ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีกระแสลมพัดผ่านมาเลย เราคงแย่มากๆ
จากที่เคยบอกไว้ว่าเรือนจำแห่งนี้ ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับคนได้ประมาณ 500 คนเท่านั้น เมื่อกระแสการต่อต้านญี่ปุ่นขยายใหญ่ขึ้น เรือนจำแห่งนี้กลับต้องรองรับคนถึง 3,500 คน ห้องขังห้องหนึ่งซึ่งรองรับคนได้เพียง 7 คน กลับต้องขังคนเป็นจำนวนถึง 35 คน
เรื่องการใช้ชีวิตแต่ละอย่างคงไม่ต้องพูดถึง คงลำบากมากมายทั้งกายและใจ เนื่องจากห้องขังมีน้อยกว่าจำนวนคน การนอนจึงต้องแบ่งผลัดกันนอน โดยแบ่งออกเป็นสามผลัด เมื่อผลัดแรกนอนก่อน คนที่อยู่ในผลัดต่อๆไป ต้องยืนรอจนถึงเวลาของตัวเอง เพื่อที่จะล้มตัวลงนอนได้อย่างสบาย
เดินมาจนสุดทางห้องขังแล้วออกสู่บรรยากาศภายนอกบ้าง
บรรยากาศภายนอก ถ้าไม่นับว่าที่นี่คือเรือนจำอันโหดร้าย ถือว่าบรรยากาศดีทีเดียว ยังกับโรงเรียนไฮสคูลในหนังฝรั่ง
เดินมาเรื่อยๆ เข้าชมส่วนของลานประหารชีวิต ตั้งอยู่ริมรั้วติดขอบสุดๆ ของเรือนจำแห่งนี้ ภายในลานประหารติดป้ายไว้ว่าห้ามถ่ายภาพ เมื่อเดินเข้าไปจะเป็นอาคารไม้ มีเก้าอี้นั่ง สำหรับคนถูกประหารชีวิต มีเชือก และก็มีส่วนที่นั่งของพยาน และมีชั้นใต้ดินเอาไว้รับศพนักโทษและเช็คว่านักโทษตายสนิทแล้วจริงๆ
ที่ทางเข้าลานประหาร จะมีต้นไม้สองต้น ชนิดเดียวกันถูกปลูกไว้ข้างๆกัน ต้นที่อยู่ภายนอกรั้วลานประหาร เติบโตสมบูรณ์ดีตามปกติ แต่ต้นที่อยู่ในรั้วลานประหาร แคระแกรนไม่โต ทั้งๆที่ยังไม่ตาย เป็นที่เล่าขานกันว่า เหตุที่ต้นไม้ในรั้วลานประหารไม่โต เพราะมันได้รับรู้ ได้เห็น และได้ยินความโหดร้ายและความทุกข์ทรมาน แต่สำหรับการคิดในแง่ดี บ้างก็ว่าเป็นเพราะมันแย่งอาหารกันเองเท่านั้น
เมื่อเดินออกจากลานประหารมาแล้ว จะพบกับส่วนที่นำศพออกไป มีลักษณะเป็นทางมืดเหมือนเดินเข้าไปในถ้ำ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าถ้ำนี้จะไปออกที่ไหน ยังคงเป็นความลับอยู่ ทราบแค่ว่าจากตรงปากถ้ำลึกเข้าไปสามารถเข้าไปได้แค่ 40 เมตรเท่านั้น แต่ก้ไม่รู้ว่าหนทางที่เหลือ หรือสุดปลายทางไปอยู่ตรงที่ใด
ออกจากเรือนจำโซแดมุนมาด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไป มองอะไรก็รู้สึกโชคดีไปหมด บอกกับตัวเองว่า เราโชคดีจังที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเช้า โชคดีจังที่ได้สัมผัสใบไม้ โชคดีจังที่มีที่นอนสบายๆ โชคดีจังที่เกิดมาแล้วไม่ต้องเจอความโหดร้ายแบบนี้ คนที่อยู่ในคุกโซแดมุนเหล่านั้น หลายคนเป็นคนดี รักชาติ แต่ต้องมาจบชีวิตด้วยความทุกข์ทรมาน แม้ร่างกายเค้าไม่อยู่ แต่ลูกหลานของเค้าก็คงขอบคุณและภูมิใจในสิ่งที่เค้าได้ทำเพื่อชาติ บ้านเกิดเมืองนอนของเค้าเอง จนทุกวันนี้บ้านเมืองเค้าก็เจริญขึ้นดูดีขึ้นกว่าเก่าก่อนเป็นกอง สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วกลายเป็นอดีต และกลายเป็นประวัติศาสตร์ไป เราคนรุ่นหลังก็ควรศึกษาไว้ และก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นอีก เปลี่ยนจากเกลียด มาเป็นว่าเราจะทำอย่างไรให้สู้เค้าได้ดีกว่า วันนี้คงพอเท่านี้ก่อน ไว้พรุ่งนี้ไปเที่ยวเมืองโซลกันต่อ ;D