แวะอ่านตอนที่ 5 ที่นี่จ้า >> เที่ยวเวียดนาม ตอนที่5 เที่ยวดาลัด เจดีย์มังกร Chua Linh Phuoc หุบเขาแห่งความรัก Thung Lung Tinh Yeu ตลาดกลางคืนดาลัด
เช้าวันที่ 8 กันยายน 2556 เริ่มต้นเที่ยวดาลัดที่เหลือเริ่มจากที่แรก พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋ (Bao Dai’s Summer Palace) พระราชวังที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวน ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เป็นตำหนัก 1 ใน 3 ของเมืองดาลัตที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
ซื้อตั๋วเข้าชมได้ทางด้านหน้าประตูทางเข้าพระราชวัง และก่อนเดินเข้าไปชมด้านในต้องสวมถุงผ้าคลุมรองเท้าก่อน
ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ พร้อมพระราชประวัติของจักรพรรดิเบ๋าได๋ พระมเหสี พระโอรสและพระธิดา
จักรพรรดิเบ๋าได๋ ทรงเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 13 เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน พระองค์ทรงศึกษาและใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศสมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส จนเมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์ก็ทรงลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสจนกระทั่งพระองค์สวรรคต
ห้องต่างๆ ในพระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิเบ๋าได๋
ทางเดินเข้าห้องทรงงาน….เราพยายามยืนรอให้คนเดินผ่านไปจนหมดแล้วค่อยถ่ายรูป แต่คุณลุงเวียดนามคนนี้แกไม่ยอมไปไหนสักที แถมเวลาเรายกกล้องจะถ่าย แกก็จะต้องหันมามองกล้องทุกครั้งไป จนเราเริ่มทนไม่ไหว….เอ้า!!! ถ่ายลุงไปด้วยก็ได้ 555
ห้องรวบรวมเครื่องแก้ว และเซรามิคสวยๆ
สมเด็จพระจักรพรรดิเบ๋าได๋ , สมเด็จพระจักรพรรดินี นาม เฟือง และ มกุฎราชกุมารบ๋าว ล็อง
ภายในพระราชวังมีส่วนที่ให้นักท่องเที่ยวเช่าชุดแบบราชวงศ์ของเวียดนามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ด้วย โดยค่าเช่าชุดคนละ 15,000 VND เลือกสีสันได้ตามชอบเลยจ้า
ส่วนเราก็ไม่พลาด ถ่ายมากะเค้าด้วยเหมือนกัน 555
ออกมาเดินชมบรรยากาศด้านนอกพระราชวังกันบ้าง
ต้นไม้ใบหญ้า ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน
ดอกไม้น่ารักๆ บริเวณสวน Bao Dai ‘s Summer Palace
เที่ยวพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋แล้ว มาต่อกันที่วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)
วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) วัดพุทธนิกายเซน ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมืองดาลัด
เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปด้านในโบสถ์กัน
ภายในโบสถ์เงียบสงบดี พุทธศาสนิกชนชาวเวียดนามและชาวต่างชาติอย่างเรา เข้ามากราบไหว้พระพุทธรูปขอพรกันอยู่ตลอด เท่าที่สังเกต การไหว้พระของชาวเวียดนาม เค้าจะยืนไหว้พนมมือยกขึ้นระดับศีรษะ หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว ทุกคนจะเข้าไปหยอดเงินทำบุญลงในบาตรพระใหญ่ๆ ตรงหน้าหลวงพี่ เราก็ทำตามเจ้าถิ่นเค้าไปเรื่อยๆ……พอเริ่มเข้าไปใกล้ๆ หลวงพี่ เพิ่งรู้ว่าหลวงพี่เป็นฝรั่งด้วย
เดินออกมาชมบรรยากาศของวัดตั๊กลัม สิ่งก่อสร้างภายในวัดดูเป็นระเบียบและสวยงามมาก บรรยากาศดีเลยทีเดียว
ภายในบริเวณวัด ยังประดับประดาไปด้วยสวนดอกไม้ หลากหลายสีสัน ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันได้
สาวๆ กับมวลหมู่ดอกไม้ เสียงหัวเราะกับสีสันของดอกไม้ เพิ่มความสดใสให้กับบรรยากาศการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
เดินมาเรื่อยๆ เจอกับพระพุทธรูปองค์สีเขียว เราไม่แน่ใจว่าเป็นของเวียดนามหรือของไทย แต่เราก็เรียกว่าพระแก้วมรกตเวียดนาม เพราะดูคล้ายกับองค์พระแก้วมรกตที่ไทยอยู่บ้าง
สวยงาม เหมือนที่บ้านเราเลย
ใกล้ๆ พระแก้วมรกต มีสวนไม้ดัดที่ทำเป็นรูปมังกรด้วย โดยชาวเวียดนามเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์มงคล
มังกรน่ารักมาก
ดอกไม้สีสันสดสวย ระหว่างทางเดินไปขึ้นกระเช้าชมเมืองดาลัต
ออกจากวัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง เพื่อไปขึ้นกระเช้าชมเมืองดาลัต
ป้ายบอกค่าบริการด้านนอกอาคาร
นั่นไง!! เดี๋ยวเราจะไปขึ้นกระเช้าแบบนั้นกันบ้าง
มาแล้ววว……กระเช้าของเรา
ออกตัวแล้ว
นั่งกระเช้าชมวิวมุมสูงสัมผัสกับทัศนียภาพเทือกเขาสูง ป่าสน และเรือกสวน ไร่นา แปลงเกษตรของชาวบ้านมากมาย
ใกล้ถึงจุดกลับตัวแล้ว
ระยะทางยาวนานเหมือนกันนะกว่าจะถึงจุดกลับตัว เดี๋ยวเรามาชมวิวขากลับอีกฝั่งกันบ้าง
ทัศนียภาพเมืองดาลัต บ้านเรือนหลากหลายสีสัน ท่ามกลางเทือกเขา เห็นโบสถ์ดาลัต หอคอยดาลัต ได้จากบนกระเช้านี้ด้วย
บ้านเรือนต่างๆ แปลงเกษตร และแหล่งชุมชน
นั่งกระเช้ามาตั้งนาน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เห็นวิวทะเลสาบสวรรค์ (Paradise Lake) หรือทะเลสาบ Tuyen Lam เลย ระหว่างทางที่นั่งมาก็ยังไม่เห็นเลย ขากลับใกล้ๆถึงจุด Start เราก็เริ่มเห็นวิวทะเลสาบ Tuyen Lam แล้ว…..มองไปทางภูเขา โน่นๆ อยู่ตรงโน้นนั่นเอง
ซูมไปแบบใกล้ๆ ความสามารถของเลนส์ได้เพียงเท่านี้
ผ่านแปลงเกษตรนี้ ก็ใกล้ถึงที่หมายแล้ว
ครบแล้ว 1 รอบ สำหรับการนั่งกระเช้าชมวิวเมืองดาลัต
จากกระเช้า เราก็ซิ่งมาเที่ยวกันต่อที่ น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall)
น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดมาประมาณ 7 กิโลเมตร น้ำตกที่นี่ไม่ใหญ่โตอะไรมาก แต่มีกิจกรรมสนุกๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวน้ำตกดาตันลา นั่นก็คือ การนั่งรถรางชมน้ำตก นั่นเอง
นี่ไง รถรางไฮไลท์ของการท่องเที่ยวน้ำตกดาตันลาแห่งนี้ โดยปกติรถราง 1 คันสามารถนั่งได้ 2 คน แต่จากในภาพคงเป็นความสามารถพิเศษที่ทำให้นั่ง 3 คนได้ เข็มขัดนิรภัยมีสำหรับคนที่นั่งด้านหลังเท่านั้น คนนั่งหน้าจะ freedom ไม่มีอะไรมารั้งหรือรัดไว้ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยเราคิดว่าควรนั่งไปคนละคันจะดีกว่า เพื่อความคล่องตัวและได้รัดเข็มขัดนิรภัยด้วย แต่ถ้าหากใครพาเด็กมาด้วยก็ควรนำเด็กนั่งข้างหน้า และขับอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าหากเด็กเล็กมากๆ แบบว่าเด็กอ่อนเลย อันนี้ก็ไม่แนะนำให้เล่นนะ
ก่อนออกรถเจ้าหน้าที่จะช่วยตรวจสอบดูเข็มขัดนิรภัยให้ พร้อมกับบอกวิธีบังคับรถ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นี่เค้าพูดภาษาไทยได้นะ พอเจอพวกเรา Speak Thai เค้าก็ปรับมาเป็นโหมดภาษาไทย บอกว่า คางหน่าไป๊ คางหลังเบก (ข้างหน้าไป ข้างหลังเบรก)
และเพื่ออรรถรส และเพิ่มความสนุกให้สุดเหวี่ยง แนะนำว่าให้ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้เยอะๆหน่อย โดยปกติทางน้ำตกจะติดป้ายบอกไว้ว่าให้ขับห่างกันอย่างน้อย 25 เมตร แต่สำหรับพวกเรา ทิ้งกัน 1 โค้งเป็นอย่างต่ำ เพื่อความมันส์สะใจ ยะฮู้………
นี่ไง น้ำตกดาตันลา ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ เดินชมได้แบบทั่วๆ
สายน้ำตกไหลแรง กระเซ็นเป็นละออง เกาะตามเสื้อผ้า หน้า ผม และเลนส์กล้อง
มี เฮ่งเจีย ตัวละครจากไซอิ๋ว มายืนสร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยว
วิวจากด้านบนของน้ำตกดาตันลา
เดินชมน้ำตกดาตันลาจนทั่วแล้ว มานั่งรถรางกลับที่เดิม แต่ขากลับนี้นั่งอย่างเดียวนะ มีคนบังคับลากให้
ใกล้ถึงแล้ว…….
หลังจากลงจากรถราง พวกเราก็มายืนรอแท็กซี่ที่พวกเราเช่าไว้ เพื่อให้เค้ามารับเราไปส่งที่ท่ารถบัสไปมุยเน่ พี่แท็กซี่ของเราวันนี้เป็นคนที่ใช้เวลาว่างได้อย่างมีประโยชน์มากๆ พอเค้าจอดส่งเราไปเที่ยวในแต่ละที่ เค้าก็จะไปรับจ๊อบส่งคนต่อทันที ทั้งๆที่กระเป๋า หรือทรัพย์สินพวกเราก็อยู่ในรถ เที่ยวน้ำตกดาตันลาเสร็จ พวกเราก็มารอพี่แท็กซี่ที่หน้าทางเข้าน้ำตก รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มา พวกเรากลัวพลาดรถไปมุยเน่ เลยวานให้เจ้าหน้าที่แถวๆ นั้นโทรตามให้…..สุดท้ายทุกอย่างก็ทันท่วงทีจ้า 555
หลังจากที่พี่แท็กซี่มาส่งที่ท่ารถไปมุยเน่ ยังเหลือเวลาประมาณชั่วโมงนึงกว่ารถจะมา พวกเราเลยเดินหาอาหารกลางวันทานกันแถวๆ นั้น สุดท้ายก็มาทานข้าวแกงตรงหน้าโรงพยาบาลดาลัต รสชาติก็ไม่ได้แย่อะไร กินได้ อิ่มท้องจ้า
หลังจากทานข้าวเสร็จ ยังพอมีเวลาเหลือ มานั่งทานกาแฟสไตล์เวียดนามที่ร้านข้างๆ ท่ารถบัส
เสร็จสรรพแล้ว พวกเราก็มานั่งรอรถ ระหว่างที่รอมีหนุ่มน้อยเวียดนามคนนี้ มาคอยป้วนเปี้ยนเล่นด้วยตลอดเลย 555
หน้าตารับแขกมาก ไม่กลัวคนแปลกหน้าเลย เดินๆ วิ่งๆ อยู่แถวๆ ที่เรานั่ง มาเล่นกับเราตลอด ไม่ยอมกินข้าวแต่โดยดี 555
พูดถึงเรื่องรถบัสไปมุยเน่ พวกเราให้ทางโรงแรมจองให้เนื่องจากตอนที่เราไปสอบถาม ได้ความว่าที่สถานีขนส่งของดาลัต ไม่มีรถไปมุยเน่ อันนี้ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่ ณ เวลาตอนนั้นก็มืดแล้ว พวกเราจึงเลือกใช้บริการให้ทางโรงแรมจัดแจงให้
รถบัสมาแล้ว รถที่จะพาเราไปมุยเน่เป็นรถมินิบัส วนมารับพวกเราเป็นกรุ๊ปสุดท้าย จึงไม่สามารถเลือกที่นั่งได้ เหลือเพียงที่นั่งทางด้านหลัง โดยเรานั่งข้างๆ คุณลุงเวียดนามอีกคนนึง แกคุยไม่เก่งแต่ยิ้มแย้มดี เราชวนแกกินหนมเยลลี่จอลลี่แบร์ แกก็กินนะ 555
ระหว่างทางไปมุยเน่ ฝนตกตลอดทาง ลัดเลาะขึ้นเขาไปหลายลูก ได้ชมธรรมชาติไปเยอะเลย เห็นป่าๆอย่างนี้ มี3G ใช้ตลอดทางเลยนะ สุดยอดมากๆ
แต่ทางไม่ค่อยดีเท่าไร เรานั่งหลัง รถเด้งจนไส้เขย่า ไม่เป็นอันหลับอันนอนเลยล่ะ
ระหว่างทางกลางป่ากลางเขา อยู่ดีๆ คุณลุงเวียดนามข้างเรา ก็ลุกออกไปคุยกับคนขับ ท่าทางเหมือนจะขอลง เราแปลกใจกันมาก ทำไมบ้านลุงเค้าอยู่ไกลจัง ตั้งอยู่กลางป่ากลางเขาด้วย
สักพักนึงรถก็จอดที่ข้างทาง มีกระท่อมเล็กๆ เรานึกว่านี่คือบ้านของลุงเต็มที่ พอรถจอดสนิท คุณลุงวิ่งจู๊ด…..เข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว และเหมือนเป็นสัญญาณสากล ฝรั่งมังค่าในรถ ลงตามๆกัน วิ่งเข้าไปกันไปทุกคน เป็นอันว่าใช่ละ ฉะนั้นเราก็เลยวิ่งไปกะเค้าบ้าง เพื่อสุขภาพกระเพาะปัสสาวะที่ดี
นี่คือห้องน้ำ Open Air ส่วนตัวของเรา โอบล้อมไปด้วยวัชพืชสีเขียวสดใส ก่อนกระทำการใดๆ เราก็ยกมือไหว้และก็บอกเป็นภาษาไทย ว่าขอโทษนะคะ จำเป็นต้องที่นี่จริงๆค่ะ คนขับจอดให้ลงตรงนี้ ขอขมาด้วยนะคะ ซินกามเอิ้นค่ะ (ถึงแม้ว่าภาษาจะไม่เข้าใจ แต่เราก็พยายามยกมือไหว้ทำหน้าขอความเห็นใจสุดฤทธิ์ กลัวเค้าจะไม่เข้าใจเรา)
หลังจากหมดทุกข์แล้ว โลกก็สดใสอีกครั้ง
จริงๆ แล้วระหว่างทาง เราเห็นมีที่พักรถอยู่จุดนึงนะ เป็นบ้านเล็กๆ แล้วมีมินิบัสแบบเราจอดอยู่คันนึง แต่รถที่เรานั่งมานั้น ไม่จอดแวะกลางป่ากลางเขาที่ไหนเลย ต้องขอบคุณคุณลุงเวียดนามที่นั่งข้างๆ มากๆ ถ้าลุงไม่ปวดฉี่ พวกเราก็คงต้องทนไปจนถึงมุยเน่โน้นนนน
เมื่อเริ่มเข้าสู่มุยเน่ ฝนก็เริ่มซาอีกครั้ง
สองข้างทางระหว่างเข้าสู่มุยเน่ นิยมปลูกแก้วมังกรกันมาก
แทบทุกบ้านเรือน จะมีแก้วมังกรปลูกไว้
ฝนหยุดแล้ว ฟ้าใสจัง
วิวท้องนา ภูเขา ท้องฟ้า สวยจัง
ถึงแล้วมุยเน่…..ทะเลยามโพล้เพล้
พวกเราเข้าพักกันที่ Mui Ne Resort ด้านบนเป็นภาพสะว่ายน้ำในตอนเช้า รายละเอียดที่พักเราเขียนแยกไว้เป็นอีกบทความนึง ใครสนใจเชิญอ่านได้ที่นี่จ้า >> รีวิวที่พักเวียดนาม ที่พักมุยเน่ Mui Ne Resort The Sinh Tourist
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว มาทะเลทั้งทีก็ต้องโดนซีฟู้ดซะหน่อย พวกเรามาทานอาหารเย็นกันที่ร้าน Lam Tong Quan
หน้าตาอาหาร ปลาหมึกย่าง จานนี้ราคาไทยก็ 90 บาท
หอยนางรม
ปูม้านึ่ง
ปลาอะไรสักอย่าง เป็นปลาย่าง
กับข้าวอื่นๆ
ตามด้วยน้ำมะพร้าว เราชอบทานน้ำมะพร้าว มาเวียดนามก็สั่งตลอด ไม่มีมะพร้าวที่ไหนอร่อยเท่าเมืองไทยบ้านเราเลย คอนเฟิร์ม!!
โดยสรุป ซีฟู้ดที่ Lam Tong Quan ในความเห็นเรา วัตถุดิบก็โอเคดี ไม่เก่า ส่วนรสชาติก็พอไปได้ น้ำจิ้มไม่ต้องสืบ แน่นอนว่าไม่ถูกใจเราอย่างแน่นอน เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดของที่นี่จะเป็นผงๆ อะไรสักอย่าง และบีบน้ำมะนาวใส่ลงไป กินไปก็คิดถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดไทยไป ใครมาทานซีฟู้ดเวียดนาม หากอยากได้ความแซ่บสะใจ เหมือนอยู่เมืองไทย แนะนำว่าให้พกน้ำจิ้มซีฟู้ดมาด้วยจะดีมากเลยจ้า
ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พวกเรามาจองทัวร์มุยเน่ ของวันพรุ่งนี้ที่ The Sinh Tourist ตรงหน้าที่พักนี่เลย สะดวกดี
โดยพวกเราจองเป็นแบบ Private Tour มีแค่พวกเรา 4 คน ราคาคนละ 10 USD ซึ่งก็เป็นราคาที่มาตรฐานดี และพวกเราก็เลยจอง Sleeping Bus เพื่อที่จะเดินทางไปเข้าโฮจิมินห์ในคืนพรุ่งนี้ด้วย ทำธุระกันเสร็จสรรพแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะไปตะลุยเที่ยวทะเลทรายมุยเน่กันจ้าาา
ดูบันทึกการท่องเที่ยวเวียดนามย้อนหลัง ที่นี่
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่ 1 วางแผนเที่ยว
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่2 เที่ยวฮานอย
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่3 ฮาลองเบย์ ถ้ำเทียนกุง หมู่บ้านชาวประมง Vung Vieng Fishing Village
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่4 ฮาลองบก (นิงห์บิงห์) ฮวาลือ ตามก๊อก Hoa Lu Tam Coc
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่6 พระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิเบ๋าได๋ วัดตั๊กลัม ทะเลสาบ Tuyen Lam น้ำตกดาตันลา
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่7 เที่ยวมุยเน่ แฟรี่สตรีม หมู่บ้านชาวประมง ทะเลทรายขาว ทะเลทรายแดง
เที่ยวเวียดนาม ตอนที่8 เที่ยวโฮจิมินห์