เที่ยวญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสี (9) ล่องเรือโตรกผา Geibikei Gorge

แวะอ่านตอนที่ 8 ที่นี่ >> เที่ยวญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสี (8) Nyuto Onsen-Tsurunoyu Onsen-Kuroyu Onsen

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นนอนราวๆ 06.15 น. ออกจากห้องเพื่อจะไปอาบน้ำบ่อที่ Indoor ด้านในอาคาร ได้พบกับผู้ชายชาวต่างชาติห้องข้างๆ กัน มารู้ทีหลังว่าชื่อคุณอลัน (Mr. Alan) เค้าเจอหน้าเรา ก็พูดทักทายว่า “สวัสดี” เราประหลาดใจเล็กน้อย คิดในใจ “เฮ้ย!! เจอฝรั่งพูดไทยที่ญี่ปุ่น” เลยทักกลับไปว่า “สวัสดีค่ะ” คุณอลันเลยพูด “สวัสดีค่ะ” ตามเราอีก เลยถือโอกาสบอกไปว่า ผู้หญิงพูด “สวัสดีค่ะ” แต่ผู้ชายพูด “สวัสดีครับ” เป็นบทสนทนายามเช้าที่ค่อนข้างกระชับมิตร สบายๆ ได้เพื่อนใหม่อีกแล้ว เย้!!!

เราต้องนั่งรถไฟคนละฝั่ง โบกมือลาไปพร้อมกันด้วยภาพนี้ ^_^ Bye…Bye

หลังจากที่เช็คเอาท์ออกจาก Kuroyu Onsen เราก็ได้มีโอกาสนั่งรถรับส่งของทางเรียวกังมาพร้อมๆ กับคุณอลัน จึงได้พูดคุยกับทั้งคุณอลันและภรรยา สอบถามกันว่าพวกเราจะไปเที่ยวต่อที่ไหน และเค้าก็เล่าให้ฟังว่าเคยมาเที่ยวที่ประเทศไทย ทั้งนี้เราก็ไม่ลืมแนะนำที่เที่ยวที่น่าสนใจต่างๆ ให้คุณอลันและภรรยาด้วย ก่อนจากกันเราและคุณอลันได้แลก E-mail กันไว้ เราเก็บไว้อย่างดี แม้เราจะไม่มีโอกาสเขียนอีเมลล์หาคุณอลันเลย แต่เราก็ยังคงจดจำความ friendly และความใจดีของทั้งสองคนได้ พวกเราคุยกันสนุกมาก…..Thank you for your friendship.

มุ่งหน้าสู่จุหมายต่อไป สถานี Ichinoseki เราจะไปล่องเรือชมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่โตรกผา Geibike (猊鼻渓)

มื้อกลางวันบน SHINKANSEN สถานี MORIOKA

ประมาณเกือบๆ บ่ายโมง เราก็มาถึงสถานี Geibikei…

สถานี Geibikei เป็นสถานีเล็กๆ มีเพียงรางรถไฟ ชานชลา และห้องรอรถไฟที่เหมือนเป็นเพียงตู้คอนเทนเนอร์เล็กๆ และไม่มีล็อคเกอร์ฝากของ ฉะนั้นถ้ามีสัมภาระขอเชิญหย่อนไว้ที่ตู้ล๊อคเกอร์สถานี Ichinoseki ตั้งแต่เนิ่นๆเลยนะจ๊ะ

แวะดูตารางรถไฟก่อนออกเที่ยว จะได้ประมาณเวลาเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวตกรถไฟรอบที่ต้องการจ้า

เดินออกจากสถานีรถไฟ Geibikei เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางที่คนเดินไป สองข้างทางจะมีป้ายหรือธงภาษาญี่ปุ่นปักบอกไว้ตามแนวทางเดินด้วย

เดินมาเรื่อยๆ เลี้ยวโค้งขวาตามภาพ

เมื่อถึงทางแยกจะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคุณป้าคอยยืนโบกมือบอกทิศทางให้แก่นักท่องเที่ยว จะได้ไม่เดินเลี้ยวผิดหลงทิศหลงทาง

สังเกตดีๆ จะมีป้ายบอกทางที่ทางแยกด้วยนะ แต่ป้ายค่อนข้างเตี้ยกลมกลืนกับต้นไม้ใบหญ้าไปสักหน่อย อาจจะไม่ค่อยมีคนเห็นกันมากนัก

เย่!! ถึงแล้ว….สถานที่ๆ เราจะมาล่องเรือชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่โตรกผา Geibikei แห่งนี้

เข้าไปเช็ครอบและซื้อตั๋วขึ้นเรือกันก่อน ดูรอบเวลาเรือและอัตราค่าบริการได้ที่นี่เลย >> Geibikei Boat Timetable

พวกเราซื้อตั๋วได้รอบลงเรือตอน 13.30 น. ค่อนข้างที่จะเหลือเวลาอยู่บ้าง เลยมาหาซอฟท์ครีมและปลาอายุกินเพื่อฆ่าเวลากันสักหน่อย

ลงเรือมาแล้วต้องถอดรองเท้าวางไว้ที่ชั้นวางรองเท้าด้านหน้าเรือ จากนั้นก็ทยอยเข้าไปนั่งชิดขอบเรือทั้งสองฝั่ง โดยแต่ละคนจะต้องนั่งบนเบาะสีส้มๆ แบบนี้ เพราะนอกจากจะใช้เป็นเบาะรองนั่งแล้วสามารถใช้เป็นชูชีพได้ด้วยในกรณีที่เรือเกิดอุบัติเหตุจ้า

ฟ้าครึ้มๆ แฮะ แต่ว่าฝนไม่ตก เลยได้นั่งเรือเปิดประทุนไร้หลังคารับลมเย็นๆ ชมวิวกันได้แบบ 360 องศาไปเลย

วันนี้มีคณะนักเรียนญี่ปุ่นมาล่องเรือทัศนศึกษาชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีเช่นกัน….ระหว่างทางจะผ่านถ้ำ ศาลเจ้า พร้อมด้วยตำนานเล่าขานจากคนพายเรือ ที่จะคอยบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฟังตลอดเส้นทาง

บรรยากาศดีมากๆ สองฝั่งระหว่างทางได้ชมธรรมชาติของใบไม้เปลี่ยนสีอยู่บ้าง ซึ่งตอนที่เราไปนั้นอยู่ในช่วงที่เลยช่วงพีคมาแล้วหน่อยนึง สีสันของใบไม้จึงไม่ได้ดูปังมากนัก แต่ถือว่าสวยมากและบรรยากาศดีจริงๆ

ในน้ำมีปลา….ก่อนขึ้นเรือจะมีอาหารปลาแบ่งขายด้วย ใครสนใจอยากให้อาหารปลาระหว่างทางก็สามารถซื้อติดไม้ติดมือไว้ก่อนลงเรือได้

นอกจากมีปลาก็ยังมีเป็ดน้อยน่ารักๆ ว่ายน้ำโฉบเฉี่ยวไปมา

ล่องเรือมาได้สักพักใหญ่ เรือจะเทียบท่าจอดที่ตลิ่งใหญ่ๆ เพื่อให้เราได้เดินเข้าไปชมธรรมชาติด้านในได้ด้วยตัวเอง ตรงท่าที่จอดเรือนี้มีห้องน้ำให้บริการด้วยนะ

เมื่อเดินข้ามสะพานเข้ามาด้านใน เห็ยใครๆเขาไปมุงเลือกก้อนดินเผากลมๆ กัน เราก็เลยเข้าไปเลือกบ้าง

แต่ละช่องก็จะมีก้อนดินเผาที่ประทับตราตัวอักษรที่แตกต่างกัน น่าจะเป็นตัวอักษรหรือคำที่เป็นมงคลต่างๆ เช่น โชคดี สุขภาพดี อะไรประมาณนี้อะนะ เราก็เดาไปเรื่อย 555

โดนมาแล้วจำไม่ได้ว่า 4 ก้อน 100 เยน หรือว่า 5 ก้อน 100 เยน

เมื่อได้ก้อนดินเผามาแล้ว นำมาเสี่ยงโชคด้วยการปาเข้าไปในช่องเล็กๆ ที่หน้าผาฝั่งตรงข้าม เราปาไม่เข้าสักกะลูกเลย ตกน้ำ จ๋อม!!!! เหลือลูกสุดท้ายยังอุตส่าห์เก็บมาเป็นที่ระลึกกลับบ้านด้วย ^_^

ขากลับมีฝนตกลงมา เรือของเราก็ดันไร้หลังคาผู้โดยสารทั้งหมดจึงต้องไปอาศัยเรืออีกลำที่มีหลังคานั่งเบียดๆกันกลับไป

มาทีหลังเลยต้องนั่งแถวกลาง แบ่งๆกันนั่ง

ขากลับล่องเรือกลับในเส้นทางเดิม แต่มีกิจกรรมที่เพิ่มมาคือ คนพายเรือเค้าจะร้องเพลง เขย่าลูกคอในสไตล์ญี่ปุ่นให้เราฟังเพลินๆด้วย ทั้งเพลงไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร จับใจความได้แค่คำเดียวล้วนๆ คือคำว่า Ichinoseki

ใช้เวลาล่องเรือค่อนข้างนานเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่เวลา 13.30 น. ล่องเสร็จเวลา 15.10 น. ทำให้กลับไม่ทันรอบรถไฟที่คิดไว้ ต้องรอรอบต่อไปนั่นคือรอบ 16.26 น. แทน

กว่าจะมาถึงสถานี Ichinoseki ฟ้าก็มืดลงแล้ว ก่อนออกเดินทางไกลไปสถานี Naruko-Onsen พวกเราเลยตัดสินใจกันว่าจะหามื้อเย็นทานที่แถวๆ สถานี Ichinoseki นี้แหละ ตรงข้ามสถานีเห็นมีร้านและป้ายไฟตั้งอยู่จึงตัดสินใจข้ามไปดูหน่อยซิ ว่ามีอะไรกินมั่ง…

ดูจากเมนูแล้วก็น่าสนใจดี

สุดท้ายก็ตกลงกันได้ที่ร้านปิ้งย่าง Ichinoseki Horumon ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ขึ้นไปกันเลย!!

ขึ้นมาแล้วต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ของทางร้านก่อน

บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งด้วยแสงไฟสีแดงสลัวชวนง่วงยิ่งนัก

มาดูหน้าตาอาหารกันเลย เริ่มจากวัตถุดิบในเมนูปิ้งย่าง

ที่นี่เป็นร้านปิ้งย่างแบบสั่งมาเป็นเซต ไม่มีเมนูบุฟเฟ่ต์จ้า

ด้วยความที่อ่านไม่ออก และไม่ได้ถามบริกรว่าเมนูนี้คืออะไร ในใจมโนไปว่าสลัดปลาดิบแน่ๆ ไม่ปลาแซลมอนก็ปลามากุโระแหละวะ เนื้อสีคล้ายๆ แสงไฟในร้านก็แด๊งแดงแยกแยะสีในเมนูแทบไม่ออกเลยทีเดียว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟสรุปว่าไม่ใช่เนื้อปลาทั้ง 2 อย่าง แต่เป็นเบคอนจ้า 555

เซตซาชิมิรวม….แสงภายในร้านไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร สีสันของอาหารอาจดูไม่น่าทานเท่าไรนัก

เริ่มลงมือกินกันเลย go! go!

โดยสรุปแล้วร้าน Ichinoseki Horumon รสชาติอาหารไม่ถึงกับอร่อยเว่อร์ แต่ก็ไม่ได้แย่ คุณภาพวัตถุดิบทั้งเนื้อและปลาดิบได้มาตรฐานดี สะอาด และบริการดี

หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว พวกเราต้องเดินทางไปยังที่พักที่ต่อไปนั่นคือ Naruko-Onsen พวกเราเดินทางจากสถานี Ichinoseki มาแวะต่อรถที่สถานี Furukawa พวกเราวิ่งตามป้ายมาเรื่อยๆ จนเจอกับป้าย Naruko-Onsen ที่ต้นเสาแบบนี้ ทำให้พวกเรามั่นใจกันอย่างเต็มที่ เลี้ยวซ้ายวิ่งลงบันไดไปเลยจ้า แต่พอถึงชานชลาแล้ว เงิบ! เฮ้ย! ไม่ใช่ จึงต้องวิ่งกลับไปที่เสาเดิม

และพบว่าข้างๆ เสามีลูกศรที่พื้นสีเดียวกะป้ายเขียนตัวอักษรญี่ปุ่นกำกับไว้ เกิดความไม่แน่ใจจึงเดินเข้าไปถาม จนท. ว่า

เรา : Naruko-Onsen? (พร้อมชี้มือไปที่ทางออกชานชลา)
จนท. : ไฮ่! อะโน…… (มองนาฬิกา) 1 minute

ได้ยินดังนั้น เราทุกคนพุ่งตัวเข้าไปที่ผ่านประตูเข้าชานชลาอย่างไว แต่ จนท. คนเดิมก็มากั้นไว้พร้อมกับพูดว่า “1 minute 1 minute” พร้อมทำท่าหนาวแล้วชี้ข้างนอกเพื่อจะสื่อว่าข้างนอกหนาวรอข้างในดีกว่า และก็ทำท่ากินข้าวเพื่อจะสื่อว่าไปหาอะไรกินกันก่อน พวกเราจึงทวนคำว่า 1 minute ? เค้าก็ตอบว่า ไฮ่! พร้อมชี้ที่ตารางบอกเวลารถไฟที่เป็นภาษาญี่ปุ่นให้เราดูว่า รถไฟที่จะไป Naruko-Onsen มีกำหนดเวลาที่จะออกในอีก 1 ชม. ข้างหน้า พวกเราจึงร้องอ๋อ…..พร้อมกันและเริ่มเข้าใจว่า จนท. เค้าคงจำคำศัพท์ผิด เค้าตั้งใจจะสื่อว่า 1 hour แต่พูดผิดเป็น 1 minute นั่นเอง พวกเราไม่ได้ถือสาอะไร คนเราผิดพลาดกันได้ ก็รอขบวนต่อไปไม่เสียหายอะไร แต่ตอนที่ได้ยินว่า 1 minute นี่ช็อกกาดู้ฟมากเลยนะ เตรียมวิ่งเต็มที่เลยนะนั่น 5555

(หน้าตาที่พัก Naruko-Onsen ในตอนกลางวัน)

ถึง Naruko-Onsen ค่อนข้างดึกมาก ออกจากสถานีมาทุกสิ่งอย่างปิดทำการหมดแล้ว เราจึงเดินหาที่พักซึ่งเป็นเรียวกัง Ubanoyu อยู่ห่างสถานีไปสักหน่อย ออกจากสถานีเดินไปอีกประมาณ 5 นาทีได้ เราเคยเขียนรีวิวที่พัก Yoshitsuneyukarinoyu Ubanoyu แบบละเอียดแยกไว้อีกบทความนึง ใครสนใจตามไปอ่านได้ที่นี่จ้า >> รีวิวที่พักญี่ปุ่น Naruko Onsen Yoshitsuneyukarinoyu Ubanoyu

กว่าจะถึงที่พักก็ดึกแล้ว เช็คอินเรียบร้อยก็รีบไปอาบน้ำพักผ่อนอย่างว่องไว เพราะพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันแต่เช้า ไปชมใบไม้เปลี่ยนสีท่องเที่ยวตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ Naruko Gorge กัน วันนี้บ๊ายบายไปก่อนจ้า

เที่ยวญี่ปุ่น ใบไม้เปลี่ยนสี by DeeryArch.me